Hillbilly Elegy (2020): แรงผลักจากครอบครัว และชีวิตคนอยู่ที่กระเสือกกระสน : บันทึกความทรงจำของเด็กบ้านนอกที่สามารถฝ่าฟันอดีตอันโหดร้ายจนประสบความสำเร็จได้

Hillbilly Elegy (2020): แรงผลักจากครอบครัว และชีวิตคนอยู่ที่กระเสือกกระสน

“เพราะครอบครัวเป็นสิ่งเดียวที่มันมีความหมาย…แกจะรู้เอง”  หากคุณเกิดและเติบโตมาในพื้นที่แวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย เป็นกลุ่มคนชายขอบหลังเขา สถานะทางการเงินกระพร่องกระแพร่ง บ้านแตกสาแหรกขาด อยู่กับแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ติดยาหยำเป อนาคตต้องระหกระเหินดุ่มเดินไร้ทิศทาง อาศัยที่ยึดเหนี่ยวเดียวคือตายาย...แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะถูกกลืนกลายไปในสังคมเช่นนั้น ดูอย่างชีวิตของ เจ.ดี. แวนซ์ สิ! 

 

ภาพยนตร์เรื่อง Hillbilly Elegy เป็นภาพยนตร์แนวดราม่าสะท้อนปัญหาครอบครัวที่ผู้กำกับ รอน ฮาวเวิร์ด หยิบยกหนังสืออัตชีวประวัติขายดีติดอันดับของนิวยอร์กไทมส์สองปีซ้อน ในปี 2016 และ 2017 มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ตัวหนังจึงเล่าจากเรื่องจริงของ เจ.ดี. แวนซ์ อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ  ผู้มาจากครอบครัวชนชั้นกลางค่อนไปทางล่าง เติบโตมาและผลักดันให้ตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิมได้สำเร็จ

 

เจ.ดี. อาศัยอยู่กับครอบครัวเล็ก ๆ อันประกอบด้วยเบฟ---แม่ ลินด์ซีย์---พี่สาว แมมอว์---ยาย และปาเปาว์---ตา ซึ่งต่างกระจัดกระจายอยู่คนละบ้านในละแวกเดียวกัน ณ เมืองมิดเดิลทาวน์ รัฐโอไฮโอ

 

ตัวหนังนำเสนอเรื่องราวผ่านการเล่าแบบกลับไปกลับมา (Flashback) ระหว่างเหตุการณ์ปัจจุบัน ขนานไปกับอดีต ช่วงเวลาในวัยเด็กของ เจ.ดี. กับครอบครัว ที่มีส่วนแต่งแต้มเติมสีชีวิตปัจจุบันของเขา โดยหนังค่อย ๆ พาเราไปเข้าใจตัวละครทุกตัว ทำให้เราได้เห็นถึงประวัติและปัญหาครอบครัวที่หนักเกินกว่าคนนอกคนใดจะรับได้ของคนทั้ง 3 รุ่น (ยาย, แม่, ลูก)

 

“…ผมไปจากที่นี่ไม่ได้ ไปไม่ได้จนกว่าผมจะทำทุกอย่างให้มันถูกต้องที่สุด…นี่เป็นครอบครัวของผม”

 

 

เมื่อ เจ.ดี. ชายหนุ่มดีกรีนักเรียนกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเยล ผู้ที่อนาคตกำลังจะไปได้ไกล ขณะที่มีดินเนอร์สัมภาษณ์เข้าเป็นผู้ฝึกงานกับตัวแทนสำนักทนาย เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่สาวขอให้เขากลับบ้านโดยด่วน เพราะแม่แอบเสพเฮโรอีนเกินขนาด

 

เจ.ดี. จึงเลือกกลับไปบ้านเพื่อจะพบว่าเขาเข้าหน้ากับแม่ไม่ติด เขาหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงแฟนสาวและอนาคตที่ดีของตนเอง แม้จะพยายามทำทุกอย่างให้แม่ได้เข้าโปรแกรมบำบัด แต่แม่ของเขาก็ดื้อไม่ยอมทำตาม นั่นทำให้เขาคิดจะยอมแพ้และไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าแม่จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

 

พี่สาวจึงได้เตือนสติ เจ.ดี. ให้พยายามทำความเข้าใจและช่วยเหลือแม่อีกครั้ง เมื่อนั้นภาพในอดีตจึงได้หวนย้อนกลับคืนมา เขาได้รู้ว่าแม่นั้นก็เคยประสบปัญหาครอบครัวในวัยเด็กมาเหมือนกัน เธอต้องเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่ก่อสงครามปานจะฆ่ากันตั้งแต่เธอยังเด็ก จนกระทั่งตัวเธอเตลิดตั้งท้องตั้งแต่อายุ 18 หลังจากนั้นชีวิตของเธอก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาหาเลี้ยงลูกแต่เพียงผู้เดียว   

 

เหมือนกับว่าตัวหนังกำลังพยายามส่งสารให้เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตย่อมส่งผลกระทบมาถึงชีวิตปัจจุบันเป็นทอด ๆ ฉะนั้น ครอบครัวจึงมีส่วนสำคัญในการเป็นเบ้าหลอมชีวิตของคน ๆ หนึ่ง

 

“แกกับพี่เป็นอย่างเดียวที่ทำให้ชีวิตแม่มีค่าขึ้นมาบ้าง แม่ไม่รู้จริง ๆ ว่าลูกได้ดีได้ยังไง”

“ผมก็ไม่รู้ว่าจะได้ดีสักแค่ไหน”

 

 

เมื่อเกิดเหตุการณ์ซ้ำร้ายอย่างปาเปาว์---พ่อผู้คอยเป็นหลักยึดและปกป้องแม่จากปัญหาต่าง ๆ ได้จากไป เจ.ดี. นั้นรู้ว่าแม่รักปาเปาว์มาก การขาดที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอเริ่มเครียด จากแม่ที่มีความรักดีงามให้แก่ลูก แต่เธอเองไม่สามารถใช้ความรักนั้นประคับประคองชีวิตตัวเองเพื่อรอดพ้นจากวิกฤตได้ เธอจึงเลือกหันหน้าเข้าหาความสุขจากการเสพยาแทน

 

ฉากที่สะเทือนใจที่สุดคงจะเป็นฉากที่ เจ.ดี. เห็นแม่ของตัวเองหลอนยา โวยวายวิ่งออกจากบ้านพร้อมกับข้อมือที่มีรอยกรีดจนเลือดโชก อีกทั้งยังผรุสวาทด่าทอทำร้ายลูกสาวตัวเอง จนกระทั่งเขาเห็นภาพตำรวจเข้ามารุมล้อมจับแม่ที่อาละวาดไม่ได้สติ...แม่ของเขาที่ไม่ใช่แม่คนเดิมอีกต่อไป    

 

แมมอว์---ผู้เป็นยายจึงได้ตัดสินใจกอบกู้ความเป็นครอบครัวกลับมาอีกครั้ง อุทิศช่วงชีวิตสุดท้ายเลี้ยงดู เจ.ดี. ให้เติบโตเป็นเสาหลักของครอบครัว เราอาจมองได้ว่าเป็นการแสดงความรับผิดชอบที่เธอไม่สามารถเลี้ยงลูกตัวเองให้ได้ดี เธอจึงทุ่มกำลังทุกอย่างที่มีสั่งสอนหลานชายตัวเองแทน

        

“แต่แก...แกต้องตัดสินใจเองว่าจะเป็นผู้เป็นคนหรือไม่”

 

 

ฉากสำคัญอีกฉากหนึ่งของเรื่องคงหนีไม่พ้นฉากสนทนาในรถระหว่างยายกับหลายชายผู้มีช่องว่างอยู่ในจิตใจ และไม่เข้าใจว่าทำไมยายต้องดันทุรังเคี่ยวเข็ญตัวเอง นั่นเป็นเพราะยายของ เจ.ดี. เห็นว่าเขาเกือบเสียผู้เสียคนเมื่อเริ่มไปกับคบกับแก๊งเพื่อนอันธพาลในละแวกใกล้บ้านนั่นเอง

 

จะเห็นว่าตัวหนังย้ำให้เราเห็นถึงความสำคัญของคำว่าครอบครัว แม้ครอบครัวนี้เองที่มีส่วนฉุดรั้งอนาคตของ เจ.ดี. แต่ในขณะเดียวกันก็ครอบครัวนี้เองที่ทำให้เขาเป็นผู้เป็นคนมาจนทุกวันนี้

 

ในที่สุด เจ.ดี. ก็ได้ทบทวนเกี่ยวกับอดีตของตนเอง และมองเห็นแม่ในจุดที่อ่อนแอที่สุด ในจุดที่ความรู้สึกของเขาพลิกผัน เขารับรู้ความพยายามของแม่ และจะช่วยแม่ทุกวิถีทาง นั่นหมายความว่าเขาเริ่มเปิดใจกับแม่ เลือกที่จะเล่าเรื่องการเรียน อาชีพการงาน รวมถึงแฟนของตัวเองให้กับแม่ฟังด้วย

         

“ที่ที่เรามาคือรากเหง้าของเรา แต่เราเลือกได้เสมอว่าเราจะเป็นใคร ครอบครัวผมไม่สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขาหล่อหลอมตัวผม ให้โอกาสที่พวกเขาไม่เคยมีให้ผม อนาคตของผม ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันคือมรดกของพวกเรา”

 

 

ในแง่หนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังพยายามจะพาเราในฐานะผู้ชมให้ย้อนกลับไปทบทวนเรื่องราวปัญหาในชีวิตของตัวเองด้วยเช่นกัน บางทีเราอาจเห็นภาพคุณย่าคุณยายของตัวเองอยู่ในตัวแมมอว์ และบางทีการย้อนกลับมาคิดคำนึงถึงรากเหง้า แก่นแท้ ที่มาของตนเอง อาจจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้รับมือเพื่อวางแผนบนทางเลือกสู่อนาคตก็เป็นได้

 

นี่คือบันทึกความทรงจำของเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่สามารถฝ่าฟันอดีตอันโหดร้ายของครอบครัวจนประสบความสำเร็จได้ เมื่อเห็นว่าบุพการีรุ่นก่อนไม่พยายามกับชีวิตของตัวเอง หยุดไขว่คว้า เลิกล้มความตั้งใจที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า...แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะถูกกลืนกลายไปในสังคมเช่นนั้น

 

“คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกได้ว่าจะเป็นอะไร”

 

ชีวิตคนเราอยู่ที่กระเสือกกระสนจริง ๆ

 

 

ณัฐวุฒิ ศรีเรือง

ผู้เขียน

Writer

The Reader by Praphansarn