การไม่รักการอ่านสร้างผลกระทบต่อวิถีวัฒนธรรมไทยของเยาวชนอย่างไร ? : ข้าพเจ้าเชื่อว่าสังคมใดไม่สนใจและไม่รักการอ่าน สังคมนั้นคือความกลวงเปล่า...

การไม่รักการอ่านสร้างผลกระทบต่อวิถีวัฒนธรรมไทยของเยาวชนอย่างไร ?

ในชีวิตประจำวันของเรา นอกจากการพูดคุย การรับฟังอย่างฉาบฉวยแล้วเรายังอาจมีการอ่านเข้ามาปะปนเพียงประปราย นั่นคือ การอ่านเพียงข่าวสารในหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ ข่าวสารที่ผ่านการใส่สีตีไข่ ใช่หรือไม่ว่า ในสังคมของเราช่างอุดมไปด้วยเหล่านักพูด นักโฆษณาชวนเชื่อ แต่กลับว่าง ไร้นักฟังชั้นดี นักฟังซึ่งอ่อนน้อมและตระหนักคิดอย่างลึกซึ้ง นักฟังผู้เป็นนักอ่านชั้นเยี่ยมผู้ยินดีและเต็มใจรับฟังเรื่องราวต่างๆ ฟังอย่างพินิจพิเคราะห์และเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง คุณลักษณะเหล่านี้เป็นผลมาจากการอ่านหนังสือ อ่านชีวิต และอ่านโลก พวก เขาปล่อยให้เหล่านักพูดและนักโฆษณาชวนเชื่อทั้งปวงป่าวประกาศถ้อยคำอันดาษ ดื่นตื้นเขินออกไป จวบจนกระทั่งถึงจังหวะหนึ่ง เมื่อนักฟังชั้นดีได้เผยถ้อยคำของพวกเขาออกมา แค่เพียงวลี แค่เพียงประโยค แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้นักพูดชั้นเลวเหล่านั้นกลายเป็นตัวตลกไร้คุณค่า

และแน่นอน – การอ่านนั้นมิใช่การอ่านเพื่อที่จะเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ มิใช่การอ่านเพื่อที่จะนั่งมองความทุกข์ยากสาหัสของเพื่อนมนุษย์จากหอคอย แห่งความคับแคบ แต่ทว่าเป็นการอ่านเพื่อที่จะเรียนรู้ทำความเข้าใจและยอมรับในความแตกต่างระหว่างมนุษย์ แต่ทว่าเป็นการอ่านเพื่อยุติสงครามระหว่างชนเผ่า ชาติพันธุ์วรรณนา และศาสนาทั้งปวง (แต่เพราะตัวเราล้วนแวดล้อมไปด้วยสงคราม ยก ตัวอย่างเช่น บรรดาโรงงานอุตสาหกรรมของระบบทุนนิยมสามานย์ที่ได้บุกรุกเข้ามาสู่ชุมชน สู่หมู่บ้านประมงและเกษตรกรรมของพวกเรา ทำลายดินน้ำลมไฟอันอุดมของพวกเรา)

วัฒนธรรมตามความหมายของตัวของมันก็คือ แบบแผนการดำเนินชีวิตและขนบประเพณีของแต่ละสังคม แน่ละว่า เมื่อกาลเวลาเคลื่อนไป สิ่งต่างๆ ที่เคยดำรงอยู่มาแต่ครั้งอดีตกาล ก็ย่อมต้องเสื่อมสูญไป เปลี่ยนสภาพไป หรือถึงดำรงอยู่ ก็ดูราวกับสิ่งแปลกปลอม ผิดที่ผิดทาง นั่นเป็นเพราะการวัฒนาแบบก้าวกระโดด ใช่หรือไม่ เป็นการวัฒนาแบบไร้ราก แบบตัดตอน ทอดทิ้งคุณค่าดั้งเดิมอย่างสิ้นไร้เยื่อใย ตอบรับกระแสใหม่ๆ แบบมอบตัวมอบใจ ดังเช่น จากการเกษตรอันหลากหลาย ก็กลับกลายเป็นการเกษตรเชิงเดี่ยว ผลิตเพื่อส่งป้อนโรงงานอุตสาหกรรม จากผู้ที่เป็นไท ก็กลับกลายเป็นเพียงฟันเฟืองตัวน้อยนิดในเกมกลมหภาค กลายเป็นข้าทาสบนผืนแผ่นดินของตนเอง เป็นการวัฒนาไปแบบไร้คุณธรรม ดังเช่น ชาวไร่ชาวนาได้เทสารเคมีสู่ไร่นาของตน ลงสู่ผืนแผ่นดินและลำน้ำ พ่นมันขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นการวัฒนาไปอย่างสิ้นไร้จริยธรรม ดังเช่น นักการเมืองผู้เป็นดั่งสุนัขรับใช้ของนายทุนผู้โกงกิน ได้กล่าววาทกรรมว่า “เมื่อไม่ผิดกฎหมายก็ไม่ผิดจริยธรรม” หรือ “นายกรัฐมนตรีไม่ต้องเป็นคนดี หากประชาชนเลือกก็เป็นได้...”

หากว่าเราไม่ต้องการให้ใครมาตัดสินแทนเรา มากำหนดรสนิยมของเรา มาไล่ต้อนเราไปบนหนทางอันคับแคบทุรกันดารแห่งชีวิตจิตใจ หรือแม้กระทั่งการที่จะต้องมีกลุ่ม มีองค์กรต่างๆ นานา มาคอยเฝ้าระวังสิ่งต่างๆ ให้เรา (เพราะเราก็รู้ดีว่าระบอบประชาธิปไตยนั้น แต่ละบุคคลเท่ากับเสียงหนึ่งเสียง คนที่โง่เขลาที่สุดก็มีสิทธิ์มีเสียงเท่ากับคนที่ปราดเปรื่องที่สุด) ดังนั้น เราก็จำเป็นที่จะต้องแสดงตัวตนที่ชัดเจนของเราออกมา ผ่านการอ่าน การคิดอย่างเข้มข้น ร่วมมือร่วมใจกัน และกล้าที่จะวิวาทะ และยอมรับซึ่งกันและกัน

มีเหตุผลสามานย์อันใดเล่า – ที่เราจะไม่อ่าน ที่จะไม่พินิจพิเคราะห์ ที่จะไม่คิด ที่จะไม่หยั่งรากแห่งชีวิตลึกลงไปสู่ผืนแผ่นดินแห่งสติปัญญา การอ่านอย่างเสาะค้นด้วยความรัก ทำให้เราใกล้ชิดอย่างลุ่มลึกต่อชุมชนถิ่นเกิด หรือสังคมเล็กๆ ที่เราได้อาศัยอยู่ ทั้งจากจารึกและถ้อยคำของปวงปราชญ์ บรรพบุรุษของเรา ผู้ทำให้เราได้รู้จักรากเหง้าและความเกี่ยวโยงกันระหว่างชุมชนต่างๆ ทำให้เราเคารพตนเองและผู้อื่น และทำให้เราก้าวข้ามพ้นไปจากมายาคติ และอคติทั้งปวง อันเกิดจากลัทธิชาตินิยม หรือศาสนานิยมอันคับแคบ ที่ถูกโหมโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ นานา กรอกหูเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับ และแม้แต่ในความฝัน...

การอ่านทำให้ค้นพบวิถีทางของตนเอง ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าท่านเลือกตามมายาคติ เลือกใช้ชีวิตแบบก้าวกระโดด จากวัยเด็ก วัยรุ่นหนุ่ม รุ่นสาว ก้าวสู่การเป็นพ่อเป็นแม่ของลูกๆ กระโดดข้ามวัยหนุ่มสาวอันเปี่ยมด้วยศักยภาพและพลังสดใหม่ กระโดดข้ามการใช้ชีวิตและทางเลือกอันเข้มข้นหลากหลาย กระโดดข้ามการครุ่นคิดใคร่ครวญ – “ชีวิตคืออะไร?” – “ศิลปะคืออะไร?” ข้ามไปสู่จุดจบแห่งความเบื่อหน่ายตายซาก ตายจากไปทั้งๆ ที่ยังมีลมหายใจ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าท่านเลือกเช่นนั้นแน่ๆ

การอ่านทำให้สวนของเราเป็นหนึ่งเดียวกับสวนของเพื่อนบ้าน เพราะเมื่อเราปลูกดอกไม้ ความหอมหวานจักกำจายไปทั่วสารทิศ และเสียงร้องเพลงจากฝูงนกจากต้นไม้ของสวนอื่นๆ ทำให้เราตกอยู่ในโมงยามของสุนทรียภาพ ทำให้เราและคนอื่นๆ มองโลกในแง่งาม และมีจิตใจปรารถนาแต่การสร้างสรรค์ และมีเหตุผลสามานย์อันใดเล่า – ที่เราจะตื้นเขิน ที่จะยอมจำนน ที่จะมืดบอด... และสุดท้าย - เมื่อข้าพเจ้าอ่านหนังสือ ข้าพเจ้าได้ค้นพบโลกใบใหม่ไม่มีวันสิ้นสุด.

อ่าน
¤ - ความฝันงามจริงหญิงสาว
คติสีขาว – คนหนุ่ม
ชุมชนส่วนน้อยชุมนุม
เกี่ยวก้อยเป็นกลุ่มกลั่นกรอง
บ้านนี้เมืองไหนไม่อ่าน
เรือนเหย้าวิญญาณหม่นหมอง
อักโขโง่เขลาเข้าครอง
มืดมิดครรลองล่องเลือน
หยุดรากระย่อต่อยอด
มืดบอดมอดดับขับเคลื่อน
รากฐานสะท้านสะเทือน
ขยับเขยื้อนเลื่อนลอย
ก่อไฟฟืนสุม – หนุ่มสาว
เรื่องราวหลากคำล้ำถ้อย
ค่อยค่อยหยั่งรากฝากรอย
สร้างโลกใบน้อย – ใบนี้
โมงยามงามงานผ่านเจ้า
ไฟฝันส่องเฝ้าวิถี
ชีวิตคือบทกวี
เส้นสีคีตะวรรณกรรม
ชุมชนส่วนน้อยร้อยเกี่ยว
โลกเป็นหนึ่งเดียวดื่มด่ำ
ผู้คนเฝ้าคอยถ้อยคำ
คนผู้โน้มนำ – คำนึง
เปิดเถิด, เปิดอ่านด้านใน
จุดฝันส่องไฟไปถึง
เพ่งพิศคิดนึกลึกซึ้ง
นอกในใจหนึ่ง – มนุษย์- ฯ

เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์

 

ขอบคุณที่มา http://literature.ocac.go.th

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ