ปูนปิดทอง : ผลงานเอกกฤษณา อโศกสิน เปิดตัวเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ

ปูนปิดทอง

"ปูนปิดทอง" ของ "กฤษณา อโศกสิน" อาจไม่ใช่นวนิยายที่นำมาสร้างเป็นละครทีวีบ่อยนัก เมื่อเทียบกับเรื่องสวรรค์เบี่ยง เมียหลวง น้ำเซาะทราย หรือน้ำผึ้งขม แต่ปูนปิดทองเป็นนวนิยายที่ได้รับรางวัลซีไรต์ในปี พ.ศ. 2528 พร้อมคำยกย่องชื่นชมว่ามีเนื้อหาสะท้อนปัญหาของครอบครัวในสังคมไทยอย่างลึกซึ่งและไม่ล้าสมัยในปัจจุบัน

ล่าสุดปูนปิดทอง นำเสนอเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษแล้ว โดยมีการเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ ร้านหนังสือคิโนะคุนิยะ ศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2557 แน่นอนว่า สุกัญญา ชลศึกษ์ เจ้าของนามปากกา "กฤษณา อโศกสิน" ในวัย 82 ปี เดินทางมาร่วมงานด้วยตนเอง

"ถ้าถามว่าทำไมดิฉันถึงเลือกมาเป็นนักเขียน จริงๆ ก็ไม่ได้เลือกเลยค่ะ แต่มันเป็นไปเองโดยปริยายมากกว่า คือดิฉันเองชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กแล้ว แล้วก็ชอบเขียนหนังสือด้วย เขียนไปเรื่อย เขียนจบเรื่องบ้างไม่จบเรื่องบ้าง" นักเขียนหญิงให้สัมภาษณ์พร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเล็กน้อยในงาน

"ตอนนั้นก็เขียนแบบเด็กๆ อายุประมาณ 15 ปีได้ แล้วก็มีอยู่วันหนึ่ง ก็เขียนเรื่องหนึ่งได้จนจบเรื่อง ก็ส่งไปให้สำนักพิมพ์ แล้วก็ได้ตีพิมพ์ ซึ่งตอนนั้นดิฉันก็ไม่รู้เลยว่าผลงานตัวเองได้รับการตีพิมพ์แล้ว เพราะอยู่โรงเรียนประจำ เพิ่งจะมารู้ก็ตอนที่ได้เป็นนักเขียนอย่างทุกวันนี้แล้ว"

สำหรับเรื่อง "ปูนปิดทอง" เจ้าของนามปากกา "กฤษณา อโศกสิน" กล่าวถึงประเด็นสำคัญของเนื้อหาและแรงบันดาลใจว่า ต้องการสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกของหลายๆ ครอบครัวในสังคมไทย จึงได้หยิบยกเอาปัญหาที่พบเห็นผ่านประสบการณ์มาตีแผ่เป็นเรื่องราว โดยหวังว่าจะให้ข้อคิดแก่ใครหลายๆ คน

"ดิฉันสังเกตเห็นปัญหาความแตกแยกของครอบครัวในสังคมไทยหลายๆ ครอบครัว เด็กจำนวนมากมีปัญหา คือมีพฤติกรรมที่ไม่ดีค่อนข้างเยอะ ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว สังคมเรามักจะมองแค่เพียงเปลือกนอกของปัญหา แต่ไม่มองลึกลงไปข้างใน แล้วเราก็จะลงโทษแต่เด็กว่าเด็กทำตัวไม่ดี ดิฉันก็เกิดความคิดว่า แทนที่เราจะแก้ที่ปลายเหตุซึ่งก็คือเด็ก ทำไมเราไม่พิจารณาไปที่ต้นเหตุด้วย ซึ่งก็คือพ่อแม่และครอบครัว

บางครั้งการที่เด็กมีความประพฤติที่ไม่เหมาะสม ส่วนหนึ่งก็มาจากการปฏิบัติของพ่อแม่ที่ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้ดิฉันคิดว่าตัวเองควรจะเขียนหนังสือที่เกี่ยวกับความแตกแยกในลักษณะนี้ซักหนึ่งเล่มเอามาตีแผ่เพื่อสะท้อนปัญหาให้สังคมได้รับรู้" นักเขียนเจ้าของผลงานกล่าว ด้านแขกรับเชิญที่เป็นบุคคลสำคัญมาร่วมวิจารณ์ในงานเปิดตัวหนังสือครั้งนี้ด้วย

ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร อดีตนายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หนังสือเล่มนี้มีคุณค่าต่อสังคมมาก เพราะเป็นการสะท้อนปัญหาในสังคมไทย ปัญหาครอบครัว เอามาตีแผ่เป็นชีวิตของตัวละครเอกในเรื่องที่ประสบปัญหาแบบนี้มาแล้วต้องหาทางสู้ชีวิต

เป็นอุทาหรณ์เตือนใจว่า ถึงแม้ว่าเราจะเจอปัญหาหนักหนาเพียงใด แต่หากเรามีสติและรู้จักแก้ปัญหาให้ถูกทาง ทุกอย่างก็จะผ่านไปด้วยดี หรือหากจะพูดเปรียบเปรยหนังสือเล่มนี้ให้เป็นเหมือน "กระจกบานใหญ่" ที่สะท้อนภาพมุมกว้างของชีวิตจริง ก็คงไม่ใช่เรื่องผิด

สำหรับดร.สุรเดช โชติอุดมพันธ์ อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ภาควิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีมุมมองต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคม มีผลทำให้สถาบันครอบครัวขาดที่ยึดเหนี่ยว "ที่ว่าขาดที่ยึดเหนี่ยวนั้นคือผมรู้สึกว่าสังคมมนุษย์เรามีการเน้นที่ปริมาณมากกว่าคุณภาพ คือทำเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสินค้า แม้แต่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองก็ยังถูกปฏิบัติอย่างลดค่าความเป็นคนลงไปมากขึ้น

อย่างเช่นคนคบกันเป็นเพื่อน พอเบื่อเพื่อนหรือเพื่อนทำอะไรไม่ถูกใจก็ทิ้งเพื่อนไปง่ายๆ เรียกได้ว่าคบกันแบบหวังตักตวงผลประโยชน์ อะไรหลายๆอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปมันทำให้ความอดทนและความจริงใจของคนเราลดน้อยลง ซึ่งก็นำไปสู่ประเด็นที่ผู้เขียนพยายามสอนเรา คือสอนให้รู้จักอดทน และรอคอยต่อสถานการณ์ต่างๆ แล้วในที่สุดเราจะได้รู้จักความสุขที่เกิดจากการอดทนนั้น"

ไม่เพียงแต่เป็นหนังสือที่สะท้อนบอกเล่าเรื่องราวของปัญหาเท่านั้น หากแต่เสมือนเป็นประตูที่เปิดพาปัญหาเหล่านั้นไปสู่ทางแก้สำหรับใช้ในชีวิตจริงอีกด้วย "วิธีการนำเสนอเรื่องราวของคุณกฤษณาไม่ได้มีเพียงแค่การเล่าเรื่องไปเรื่อยๆอย่างเดียว ผมมองเห็นไกลกว่านั้น คือมีการพยายามหาทางออกของปัญหาให้กับสังคมด้วย" ดร.สุรเดชกล่าวเสริม

"และที่สำคัญที่สุด คือผมมองเห็นประเด็นที่คิดว่าน่าจะเป็นจุดน่าสนใจสำหรับนักอ่านนานาชาติ คือชีวิตของตัวละครในเรื่อง การมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัว จากที่ตอนแรกอาจจะไม่เคยได้คุยกัน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ตัดขาดกัน ยังรักยังกลับไปหากัน ตรงนี้ถ้าเป็นสังคมประเทศอื่น หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมตะวันตก คนเป็นลูกจะค่อนข้างมีอิสระกว่า ง่ายๆ คือใช้ชีวิตอยู่เองตามลำพังได้ โดยไม่ต้องพึ่งอะไรครอบครัวมาก เขาอาจจะรู้สึกปกติกับชีวิตของตัวละครที่ไม่พึ่งพาครอบครัว

แต่ในอีกมุมหนึ่ง ผมมองว่าถ้านักอ่านเหล่านั้นได้เข้ามาสัมผัสกับรูปแบบชีวิตหรือวัฒนธรรมของไทยจากหนังสือเล่มนี้ ที่ต่างจากวัฒนธรรมของพวกเขา ผมว่าพวกเขาน่าจะต้องประทับใจครับ " หนังสือ "ปูนปิดทอง" ฉบับภาษาอังกฤษ วางจำหน่ายแล้วสำหรับผู้ที่อยากจับจองเป็นเจ้าของ ในราคา 560 บาท

 

 

ขอบคุณที่มา : http://www.khaosod.co.th

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ