แม็กซ์ The Voice Thailand : วางกีต้าร์แล้วจับปากกาเขียนหนังสือ

แม็กซ์ The Voice Thailand

เราเคยย้ำนักย้ำหนาเรื่องการทำสิ่งต่างๆ ในชีวิต ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่อยู่ในฐานะไหน หรือตำแหน่งหน้าที่ใด มันไม่ใช่เรื่องเสียหายที่คุณจะพลิกบทบาทจากอีกหน้าที่หนึ่งมารับบทบาทในอีก แบบหนึ่ง ชายคนนี้ก็เช่นกัน

“ณัฐวุฒิ เจนมานะ” หรือที่รู้จักกันในนาม แม็กซ์ The Voice หนึ่งในผู้เข้ารอบการประกวด The Voice Thailand Season 1 ที่สามารถร้องเพลง Home ของ Michael Buble ได้อย่างเป็นธรรมชาติ จนเข้าตาโค้ชแสตมป์ หนุ่มหน้ามนที่เรามักจะเห็นเขาพกกีต้าร์คู่ใจไปไหนมาไหนด้วยเสมอ ชายหนุ่มผู้ร่ำเรียนมาจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ภาคอินเตอร์) แต่กลับทำงานในคนละบทบาทกับที่ร่ำเรียนมา วันนั้นเรารู้จักเขาในฐานะนักร้อง นักดนตรี แต่วันนี้คุณจะได้รู้จักเขาในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ จากสำนักพิมพ์บัน (BUNBOOKS) ในนามปากกา “เจนมานะ” กับหนังสือที่ใช้ชื่อว่า Strange to meet you ซึ่งเราเชื่อว่าบทสัมภาษณ์นี้น่าจะทำให้คุณได้รู้จัก “แม็กซ์ เจนมานะ” ในบทบาทใหม่ที่ถือเป็นชายแปลกหน้าในแวดวงหนังสือ

ส่วนใหญ่คนรู้จักคุณในฐานะนักดนตรี พอวางกีต้าร์แล้วหันมาจับปากกาเขียนหนังสือมีความรู้สึกแตกต่างกันไหม อย่างไร ช่วยเล่าให้เราฟังหน่อย
จริงๆ น้อยคนที่จะรู้ว่าผมชอบอ่านหนังสือมาก แล้วสิ่งที่อยากเป็นจริงจังเลยก็คือนักเขียน แต่ว่าก็จับผลัดจับผลูมาเล่นดนตรี เอาจริงๆ คือมันสนุกมากเลย แต่คนส่วนใหญ่ก็จะยังไม่รู้ว่าเรามีพาร์ทนี้ การเริ่มต้นเขียนหนังสือสักเล่ม อะไรที่ยากที่สุด แล้วมีอุปสรรคอะไรบ้างกว่าจะออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้ เยอะครับเยอะ (หัวเราะ) จริงๆ ผมไม่รู้ว่าผมจบหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร เพราะเป็นช่วงที่ผมผ่านโน้นผ่านนี้มาเยอะแยะมาก ทั้งเรื่องที่ทำให้ต้องคิดเยอะ มันกวนใจเราเยอะมาก มันก็จะมีอาการติดๆ บ้าง บางทีติดเป็นวัน ติดเป็นอาทิตย์เลยก็มี ต้องกินนอนอยู่ที่นี่เลย ถุงนอนยังมีอยู่เลย (หัวเราะ)

เห็นคุณบอกว่าเป็นคนชอบอ่านหนังสือ แล้วอย่างนี้มีหนังสือในดวงใจบ้างไหม
ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือเด็กอะ เหมือนเพลงอะครับ ผมว่าเพลงกับหนังสือมันใกล้เคียงกัน ผมก็อยากทำเพลงป๊อปๆ ให้คนฟัง แต่ในความป๊อปเราก็อยากให้มีความเป็นเราด้วย หนังสือก็เหมือนกัน ผมก็อยากให้มันอ่านง่ายๆ ผมชอบอ่านหนังสือเด็กมาก ไม่รู้จะแนะนำใคร จริงๆ ผมชอบนักเขียนหนังสือเด็กทุกคนเลยอะ แต่ที่ชอบเป็นพิเศษเลยคือ โรอัลด์ ดาห์ล คนที่เขียน Charlie and The Chocolate Factory ชอบมากเลยคนนี้ อ่านทั้งเซตเลย หลายรอบมาก

คุณคิดว่าเด็กไทยในยุคปัจจุบันกับการอ่านไม่ว่าจะเป็นการอ่าน หนังสือ หรือที่เราพบเจอบ่อยๆ คือเรื่องใน Social Network ที่คนจะชอบดราม่ากัน คุณคิดว่ามันเกิดจากอะไรที่ทำให้คนต้องดราม่า เกิดจากการตีความที่ไม่ละเอียดพอหรือเพราะอ่านหนังสือกันน้อย
สมัยนี้อ่านเยอะแต่น้อย สมัยก่อนอ่านน้อยแต่เยอะ ในความหมายก็คือคนสมัยนี้มีอะไรให้อ่านเยอะเลย โดยรวมมันเกินสองบรรทัดอยู่แล้วล่ะ อ่านไปเรื่อยๆ แต่มันไม่โฟกัส หนังสือสมัยนี้ที่อ่านก็เป็นพวกคำคมสั้นๆ มีรูป ไม่ได้โฟกัสกับการอ่าน คนสมัยก่อนเขาอ่านน้อยแต่โฟกัสมีสมาธิ มันลามไปหลายๆ เรื่อง แบบคุณจะมาดราม่ากัน เพราะคุณไม่ได้หาข้อมูล มันมีอะไรให้เลือกเยอะเกินไปเลยไม่ได้ลงลึก ผมก็เป็น

เท่าที่เราได้หยิบจับหนังสือ STRANGE TO MEET YOU ขึ้นมาอ่าน เราพบว่าภาษาของคุณมีความยียวน และดูขี้เล่นขัดกับลุคที่เราเห็น จริงๆ แล้วคุณเป็นคนตลกใช่ไหม
ไม่อะ ผมไม่ใช่คนตลก ผมเป็นคนเคร่งขรึมมาก (ยิ้ม) ผมเป็นคนไม่ค่อยคุยกับคนอื่นอะ เหมือนในหนังสือ คือไม่ชอบเปิดตัวเองกับคนแปลกหน้า จริงๆ มันค่อนข้างขัดกันนะ คือผมชอบออกไปเจอคนแปลกหน้า แต่ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า จะเปิดตัวเองเฉพาะกับคนสนิท หนังสือเล่มนี้ก็เลยเป็นสิ่งที่ผมพยายามจะให้คนแปลกหน้ารู้จักผมมากขึ้นเท่า นั้นเอง ผ่านมุมมองของผม โดยไม่ต้องสนใจตัวตนของผมก็ได้ครับ

เคยคิดไหมว่าคนจะมองว่าพอเราดังแล้วก็เลยเขียนหนังสือออกมาขายเพื่อเรียกกระแสจากแฟนๆ
แหมะ เผอิญว่าผมไม่ได้ดังก็เลยไม่เข้าข่ายนั้นครับ (ยิ้ม) จริงๆ คือผมพยายามตัดตัวเองออกไปเป็นนักเขียนอย่างเดียวเลยในชื่อ “เจนมานะ” ผมไม่ได้โปรโมทใครว่าผมมาเขียนหนังสือนะ ผมเป็นนักดนตรีมาเขียนหนังสือนะ คือไม่ได้พูดแนวนั้นเลย ในนี้ก็ไม่ค่อยมีเรื่องเกี่ยวกับดนตรีเท่าไร แต่ผมว่าก็ใกล้เคียงกันเพราะผมก็แต่งเพลงเอง ผมชอบอารมณ์การเขียนมันส่งผลถึงกันและกัน ทั้งการเป็นนักดนตรีและนักเขียน เป็นศาสตร์ที่ใกล้เคียงกัน แต่ผมโฟกัสมันออกจากกันอย่างสิ้นเชิงเลย

อยากให้คนรู้จักเราในฐานะไหนมากกว่ากัน ระหว่างนักดนตรีและนักเขียน
ผมอยากให้คนรู้จักผมที่งาน อย่างเพลงถ้าเขารู้จักที่งานก็ดี ถ้าเขารู้จักที่หนังสือก็ดี สมมุติถ้าผมตายไปแล้วเหลือแค่หนังสือกับเพลง คนก็จะจำว่าเพลงและหนังสือให้อะไรกับเขา

ตั้งแต่สัมภาษณ์มาหลายต่อหลายครั้ง คำถามไหนที่โดนถามบ่อยที่สุด (เราจะได้ไม่ถามคำถามนั้น )
รู้สึกยังไงครับ ตอนแข่ง The Voice (หัวเราะ) ถามได้นะครับ ผมตอบได้เป็นแพทเทิร์นเลย อ่า รู้สึกตื่นเต้นมากครับ!

งั้นขอถามเลยละกันว่าจากวั้นนั้นที่ได้เข้ารอบ The Voice Thailand กับวันที่หนังสือตีพิมพ์ออกมาวางขายครั้งแรก ความรู้สึกที่คุณมีมันใกล้กันไหม
อ่า..ไม่ใกล้ครับ อันนั้นเป็นความไม่ตั้งใจ คือผมไม่ได้ตั้งใจจะไปจริงจังด้านเป็นศิลปิน จริงๆ ผมไม่ได้ร้องจริงจัง ผมเป็นมือกีต้าร์ ทำเพลงเล่นๆ ทำวงแปลกๆ เรียนก็เรียนอย่างอื่นไป ทำงานก็ทำอย่างอื่นไป ชอบรายการ The Voice ก็เลยไปแข่งดู โค้ชแสตมป์ก็รับเราเข้าไป เราก็ได้เจออีกด้านของเราว่า เออ เราชอบดนตรีมากกว่าทุกอย่างเลย แต่สำหรับหนังสือเนี่ยเราก็อยากเขียนมานานแล้ว เราอ่านหนังสือเยอะ บางครั้งเราก็เขียนเก็บเอาไว้ มันเหมือนกับค่อยสะสม เวลาเขียนก็ทุลักทุเลเหมือนกัน แต่มันตั้งใจ มันค่อยๆ ประณีตทำ

อ่านจากตัวหนังสือเราก็รู้สึกว่าคุณมีความดื้อซ่อนอยู่ ยิ่งคุยยิ่งรู้สึกว่าคุณต้องเป็นคนแสบแน่ๆ แบบนี้ต้องมีวิธีจีบสาวเด็ดๆ แน่นอนเลย
มันเปลี่ยนไปตามวิถี มันเหมือนเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ตามสเต็ปไป แต่ผมเป็นคนไม่ค่อยจีบ ผมชอบอยู่เฉยๆ ตอนเด็กๆ เราก็เป็นคนไม่กล้ายุ่งกับผู้หญิงเลย กว่าจะแตะตัวผู้หญิงก็แบบเลยมอปลายแล้ว เวลาเพื่อนผู้หญิงมาโดนตัวเราก็จะกลัว เอามือออก เป็นผู้ชายหวงตัวมาก (หัวเราะ) แต่ว่านั่นมันตอนเด็กๆ ไง เราก็ชอบคนไปเรื่อยแหละ ก็มีแฟนบ้าง ตอนเด็กๆ เราก็จะเรียบๆ เคียงๆ ทำเป็นคนดีไป หลังๆ ไม่ต้องเป็นคนดีครับ คนดีใช้เวลานาน เข้าไปตรงๆ ครับ ผู้หญิงชอบคนตรงๆ ชัดเจน

พูดถึงหนังสือเล่มแรกเล่มนี้ของคุณหน่อย ทำไมคุณถึงอยากส่งต่อให้คนอื่นได้อ่าน มันมีอะไรที่ชวนให้น่าหยิบขึ้นมาอ่านไหม
คือมันไม่ใช่หนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวของผมเท่านั้น จริงๆ ผมอยากให้โฟกัสเรื่องของผมเป็นเรื่องสุดท้ายเลย เพราะผมต้องการที่จะเล่าว่ามุมมองที่ผมมีต่อคนแปลกๆ บางครั้งเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันมันมีเรื่องแปลกที่คุณไม่ได้สังเกตอยู่ ผมก็ดึงมาให้คุณดูว่าผมมองมันอย่างนี้ คุณจะมองมันแบบผมหรือเปล่าแค่นั้นเอง บางเรื่องอาจเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคุณก็ได้ แต่สำหรับผมมันแปลก ผมก็อยากชวนให้ลองอ่านดู คุณอาจลองเปลี่ยนมุมที่คุณใช้ในชีวิตประจำวันดูก็ได้

มีอะไรมันส์ๆ ในชีวิตที่อยากทำอีกไหม
ไม่มีครับ ที่ทำอยู่ตอนนี้โอเคแล้ว สองอย่างนี้ก็พาผมไปไกลแล้วครับ ก็ถ้าโฟกัสสองอย่างนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วครับ

 

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ