นิค ขายหัวเราะ : ผมเขียนการ์ตูนเดือนละร้อยกว่าหน้า

นิค ขายหัวเราะ

ท่ามกลางเสียงบ่นที่ว่าคนไทยไม่อ่านหนังสือ แต่ละสำนักพิมพ์พิมพ์หนังสือเล่มออกมา 3,000 เล่ม 3 เดือนขายไม่หมด แต่มีหนังสือชนิดหนึ่งยอดขายเดือนนึงเป็นล้านเล่ม ! ขายเล่มละสิบกว่าบาท หนังสือที่ว่าคือ “ขายหัวเราะ” แขกของของคุยนอกรอบของเราวันนี้เป็นนักเขียนในขายหัวเราะมาแล้ว 25 ปี เขาไม่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาเป็นตัวหนังสือ หากแต่เป็นการ์ตูน แน่นอนว่าเราย่อมคุ้นหน้าเขาในการ์ตูนมากกว่าตัวจริง ถ้าอย่างนั้นตัวจริงเขาเป็นอย่างไร ค้นหาได้จากบรรทัดต่อไปนี้

เข้าสู่เส้นทางนักเขียนการ์ตูนยังไง
เขียนการตูนตั้งแต่สมัยเรียน ผมอยู่โคราช เอาการ์ตูนมาส่งที่กรุงเทพฯ เป็นการ์ตูนเล่มละบาท เรียนจบแล้วก็ทำงานประจำและเขียนการ์ตูนเล่มละบาทไปด้วย แต่สุดท้ายเลือกเขียนการ์ตูนอย่างเดียว เพราะไม่มีเวลาทำ 2 งาน และงานประจำรายได้ไม่สูง

การ์ตูนช่วงแรกๆของคุณเป็นยังไง
ตอนเรียนอยู่เป็น ยุค 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19 เพื่อนของพี่ก็เข้าป่ากันเยอะ เขียนตอนแรกๆจะเพื่อชีวิตจ๋าเลย เช่นคนไม่มีอะไรกินไปแย่งข้าวเหนียวเขามาก้อนเดียวถูกรุมกระทืบจนตาย เป็นเรื่องความไม่ยุติธรรม สมัยอยู่โคราชทำหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นด้วย เขียนการ์ตูนการเมือง คนที่แวดล้อมคิดว่าการ์ตูนที่ดีต้องการ์ตูนการเมือง ต้องให้บางอย่างกับคนอ่าน ต้องมีสาระ เมื่อโตขึ้นทำการ์ตูนเยอะๆพบว่าไม่ใช่ การ์ตูนแยกออกเป็นกลายอย่าง แล้วแต่ว่าเราเหมาะกับอะไร ไม่ใช่ว่าการ์ตูนการเมืองเป็นการ์ตูนที่ดีและการ์ตูนอื่นไม่ดี จึงรู้สึกปล่อยวางมากขึ้น เมื่อก่อนซีเรียสกับชีวิต การดำเนินชีวิต การมองโลก ตอนหลังเริ่มคลี่คลาย แล้วงานก็ออกมาดีขึ้น

เริ่มเขียนตั้งแต่เมื่อไหร่
เขียนการ์ตูนตั้งแต่ ป.3 เขียนมาเรื่อย จนกระทั่งไปเรียนศิลปะ ตอนเรียนก็ยังไม่ได้เลือกว่าเป็นการ์ตูน แต่มาปรับตอนทำงานแล้ว เขียนตอนแรกแล้วมาเสนอที่บรรลือสาส์น ก็ไม่ได้พิมพ์เพราะไม่เข้ากับลักษณะการ์ตูนของเขา นิยายภาพสมัยนั้นจะดังมาก 16 หน้าจบ ช่วงนั้นคนจะเขียนเรื่องโป๊ และเรื่องผี แต่ผมไม่เคยเขียนโป๊เลย ฉีกออกมาเขียนทางตลก ถ้าเป็นผีก็เป็นผีตลก ก็รู้สึกว่ามีคนติดตามเยอะ เขียนการ์ตูนเล่มละบาทก่อนมาบรรลือสาส์น เมื่อได้งานที่บรรลือสาส์น การตูนเล่มละบาทก็น้อยลงๆจนเลิกไป เขียนควบคู่กันปีสองปีก็ไม่ไหวแล้วต้องทำทางนี้ทางเดียวแล้ว ตอนอยู่บรรลือสาส์นก็เขียนการ์ตูนอย่างเดียว ตอนนั้นเป็นการ์ตูนขายหัวเราะเล่มใหญ่ ต่อมาคิดกับบอกอว่าควรจะปรับเป็นเล่มเล็กออกมา เลยปรับประมาณปี 2529 ออกเล่มแรก ตอนนั้นต้นฉบับก็น้อย นักเขียนก็น้อย จึงต้องทำเองทุกอย่าง เป็นฝ่ายศิลป์ด้วย เป็นรองบรรณาธิการด้วย จนกระทั่งอยู่ตัวมีพนักงานมากขึ้นๆผมจึงต้องออกมาเขียนการ์ตูนอย่างเดียว บทบาทอันอื่นก็ไม่ต้องทำ

ชีวิตนักเขียนการ์ตูนเป็นยังไงบ้าง เหมือนกับที่ฝันไว้ไหม
ตอนเด็กไม่ได้ฝันว่าจะเป็นนักเขียนการ์ตูนเต็มตัว มันเป็นทางเลือกตอนโตมากกว่า จะว่าดีก็ดี จะว่าพอใจหรือยังก็ยัง ถ้าเทียบกับพนักงานกินเงินเดือนทั่วไปอาจจะดีกว่า แต่การ์ตูนจะมีเรื่องของการ์ตูนยอดนิยม ในอนาคตจะมีเรื่องของลิขสิทธิ์ ฉะนั้นผลประโยชน์ที่เมื่อก่อนไม่มีอาจจะมีต่อไป ตลาดการ์ตูนจะใหญ่ขึ้นกว้างขึ้น แม้จะมีสื่ออย่างอื่นเยอะ แต่หนังสือการ์ตูนก็ยังเป็นพื้นฐานอยู่

การ์ตูนขายหัวเราะได้รับความนิยมยืนยาวเพราะอะไร
มันเข้าถึงจิตใจของคน ความตลกเป็นสิ่งที่อ่านง่าย เข้าได้ทุกสังคม สิ่งสำคัญของการ์ตูนคือเนื้อหา ความตลกของมัน ผมว่ามันขายความตลกในตัวของมันเองมากกว่าจึงอยู่ได้

รู้สึกตันบ้างไหม
ก็มีนะแต่ไม่นาน วันสองวันก็ต้องคิดให้ได้แล้ว วิธีคิดมุกตลกไม่ใช่คิดออกมาสดๆเลย นั่นเป็นส่วนน้อย แต่ส่วนใหญ่ คือดัดแปลงจากสิ่งที่เห็นขึ้นมาใหม่ สามารถแตกออกมาได้เป็นมุกเยอะเลย ถึงบอกว่าไม่ตันเพราะเห็นอย่างอื่นก็สามารถดัดแปลงได้เลย การ์ตูนอาจแตกแขนงออกไปเป็นอย่างอื่นเช่นแอนิเมชั่น แต่ผมถูกกันออกมาให้เขียนการ์ตูนตลก เพราะคนที่เขียนการ์ตูนตลกอย่างเดียวมีน้อย ส่วนอื่นจะเป็นการ์ตูนสมัยใหม่

คุณวางบทบาทตนเองว่าจะไม่ทำงานแอนิเมชั่นอย่างนั้นหรือ
เขาวางไว้ให้ผมด้วย เขาทำแอนนิเมชั่นก็ไม่ให้ผมยุ่ง อยู่กับการ์ตูนตลกอย่างนี้แหละ เด็กรุ่นใหม่ก็ต้องอาศัยเวลา นักเขียนการ์ตูนที่เป็นเพื่อนกันคนหนึ่งเขียนดีมากแต่ต้องเลิกไปเพราะคิดไม่ออก เขียนแล้วไม่ตลก

มีวิธีเติมแรงบันดาลใจยังไง
วิถีชีวิตของนักเขียนการ์ตูนตลกแถวหน้า เป็นวิถีเรียบง่าย และมีสังคมน้อย ไม่ค่อยสังสรรค์ ไม่มีเพื่อนมาก ใช้ชีวิตสันโดดมาก จึงมองสิ่งต่างๆได้เยอะ ถ้ามีกิจวัตรมากกว่านี้เวลาคิดคงน้อยลง ทำให้งานคุณภาพแย่ลง

ตอนนี้คุณเขียนการ์ตูนอย่างเดียวหรือ
ใช่ แต่มีการ์ตูนของหน่วยราช หรือที่อื่นมาเจาะจงให้เขียน ก็ต้องเขียนไป อย่างการ์ตูนเพื่อการเลือกตั้ง เขาขอให้เขียนก็ต้องเขียนไป งานที่ติดต่อเข้ามาบรรลือสาส์นเป็นคนดูแลผลประโยชน์ให้

เคยเห็นการ์ตูนชิ้นหนึ่งของคุณเล่าว่าเพื่อนคนอื่นเริ่มทำงานเหมือนกัน 10 ปีต่อมาเขาเป็นผู้จัดการ คุณก็ยังเป็นนักเขียนการ์ตูนเหมือนเดิมอันนี้เขียนด้วยอารมณ์ไหน
ประชดประชันบ้าง และน้อยเนื้อต่ำใจบ้าง มาดูตัวเองจริงๆก็ไปทำอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ ถ้าไปเป็นผู้จัดการไปคุมลูกน้องต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างมากมาย อีกอันผมทำงานกลางคืน นอนดึกตื่นเที่ยง นอนตี 5-6 โมงเช้า คงปรับชีวิตไปทำอย่างอื่นไม่ได้

ไม่คิดจะหาทายาทมาสืบทอดวิชาการ์เขียนการ์ตูนหรือ
ถ้าเป็นอย่างอื่นคงได้ แต่สำหรับการเขียนการ์ตูนตลกคงยาก ถ้าเป็นคอมมิกที่ต้องมีการเขียนหลายคน ทั้งคนคิดเรื่อง เขียนตัวละคร เขียนฉากหลัง ผมว่าในเมืองไทยคงไม่ถึงขนาดนั้น และโดยนิสัยของการ์ตูนตลกชอบทำงานคนเดียวมากกว่า

นิยามการ์ตูนของนิคเป็นอย่างไร
ผมไม่ฟิคว่าต้องเป็นการ์ตูนเงียบ หรือการ์ตูนเกินจริง การ์ตูนจิตใต้สำนึก ทำให้มีเรื่องเล่นได้กว้าง

เขียนวันละกี่แก๊ก
เดือนหนึ่งเป็นร้อยหน้า ถ้ามีเรื่องสั้นที่ต้องเขียนด้วย เดือนหนึ่งก็เกินร้อยหน้า มีคละเคล้ากันไปง่ายยาก แต่ผมชอบเขียนแบบ 10 หน้ามีหน้าธรรมดาสัก 9 หน้า และหน้าที่ต้องเขียนด้วยฝีมือ ความมัน ความสนุกสนานสัก 1 หน้า

เรื่องสั้นกับแก๊กชอบแบบไหนมากกว่ากัน
ชอบทั้ง 2 แบบ เรื่องสั้นผมก็รู้สึกว่าแต่งเรื่องได้ดี แต่แก๊กต้องใช้เยอะมาก และกินเวลาของผมพอสมควร

กระบวนการทำงานไม่มีการประชุมหารือกันใช่ไหมว่าต้องทำยังไง
ไม่ ให้อิสระนักเขียนเลย แต่ถ้ามีอะไรต้องปรับปรุงเดี๋ยวบอกอเขาเรียกพูดเอง เป็นรายบุคคล ถ้าอายุงานเยอะๆอย่างผมไม่ต้องพูดอะไรมาก และรู้ว่าควรเล่นเรื่องอะไร ไม่ควรเล่นเรื่องอะไร เรื่องอะไรมีผลกระทบต่อจิตใจคนนี่รู้กัน อย่างล้อคนพิการ เขียนเกี่ยวกับศาสนาไม่ได้ บางคนเข้าใจบางคนไม่เข้าใจ

ตอนนี้ไม่ได้มีหน้าที่ดูแลงานของรุ่นน้องเลยใช่ไหม
ผมจะเข้าออฟฟิสสัปดาห์ละ 2-3 วัน เข้าไปช่วงบ่าย เย็นก็ออก เจอคนอื่นก็น้อย ส่วนใหญ่ทำงานกันที่บ้านแล้วเอามาส่ง ของผมใช้ต้นฉบับเยอะ และไม่มีตุนไว้เลย บางทีฉบับต่อฉบับ ส่งช้าก็ไม่ได้ บางทีจะปิดเล่มแล้วยังรอของผมอยู่ เสร็จตี 5 ผมก็ต้องบึ่งรถมา เสร็จแล้วก็กลับไปนอน

เห็นขายหัวเราะมีมุกล้อบอกอเยอะมาก บอกอเขาขี้เล่นอย่างนั้นหรือเปล่า
ตัวจริงไม่ได้ขี้เล่น เหมือนนักบริหารทั่วไป แต่ให้อิสระ เขียนล้อได้เต็มที่ โลกของการ์ตูนไม่เหมือนโลกจริง คนไหนที่เอาตัวเองมาเขียนเป็นการ์ตูน เชื่อได้เลยไม่เหมือนตัวจริงหรอก สมมติขึ้นมาบ้าง สร้างนิสัยใต้จิตสำนึกขึ้นมาบ้าง อย่างบางคนชอบผู้หญิงสวยๆ หน้าอกโตๆ แต่จริงๆกลัวเมีย

คุณเองก็เอาตัวเองเป็นการ์ตูน ตัวจริงเหมือนในการ์ตูนไหม
ไม่เป็น ตัวจริงจะเงียบๆขรึมๆ ไม่ค่อยพูดไม่สังคม นักเขียนการ์ตูนตลกจริงๆจะเป็นคนเครียด เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวสูง เมื่ออยู่ในสภาวะที่วุ่นวายแล้วจะอึกอัด

วางแผนการทำงานของตนเองอย่างไรต่อไป
อยากจะเขียนการ์ตูนให้ดีขึ้นไปอีก สนุกแบบการ์ตูน

มีงานประเภทไหนที่อยากจะทำแต่ยังไม่ได้ทำ
มี แต่คนละแขนง คือการทำภาพยนต์ กำกับหนัง

หนังของคุณจะเป็นแนวไหน
ผมทำตลกก็ได้ อาร์ตก็ได้ จริงจังก็ได้ ต้องดูตลาดหนังก่อนสมมติว่าจะทำจริงๆ เพราะถ้าทำเรื่องแรกเจ๊งก็หมดสิทธิ์เกิด เพราะฉะนั้นทำไงไม่เจ๊ง จึงต้องดูตลาดหนัง ผู้กำกับหนังเป็นคนเขียนการ์ตูนเยอะเหมือนกัน แต่เขาไม่ยอมมาเกิดในวงการการ์ตูนเลยก็มี ปืด(ธนิตย์ จิตนุกุล)ก็เขียนได้ อังเคิลก็เคยเขียนรูปมาก่อน ปรัชญา(ปิ่นแก้ว)ก็เขียนได้

มองการ์ตูนของเด็กรุ่นใหม่ว่ายังไง
งานดีเยอะเลย และเป็นสากลดีด้วย แต่จะไปทางคอมมิกกันเยอะ การ์ตูน 3 ช่องหรือ 1 ช่องจะน้อย

ฝากอะไรถึงนักเขียนการ์ตูนหน้าใหม่หรือคนที่สนใจเขียนการ์ตูน
ถ้าใครเขียนการ์ตูน ผมว่าเขารู้ตัวดีว่าเขาต้องมุ่งมั่น และเอาตัวเองไปทางนั้น แล้วเขาจะเห็นหนทางของตนเอง คนที่อยากเขียนจริงๆเขาไม่ค่อยฟังคำแนะนำ แต่เขาจะมีทางไปเยอะ อย่างนักเขียนที่ขายหัวเราะไม่เคยฟัง แต่รู้ว่าต้องมาเขียนที่นี่ และดั้นด้นมา

 

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ