วาไรตี้ เสวนา “ญ หญิง ถึง ญ หญิง สัญจร” : สาระพันเรื่องราวของผู้หญิง เคล็ดลับสุขภาพ พร้อมสำหรับลุยงานหนักได้ดี ไร้โรคภัยและแจ่มใสเสมอ

วาไรตี้ เสวนา “ญ หญิง ถึง ญ หญิง สัญจร”

ปฎิพร สิทธิพงศ์ : สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่วาไรตี้เสวนา“ ญ หญิง ถึง ญ หญิง สัญจร...” ซึ่งจะเป็นการพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผู้หญิงอยากรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสวยความงาม สุขภาพ และการทำงาน ซึ่งวันนี้เราได้รับเกียรติจาก ผู้หญิง 2 ท่าน ที่มีหน้าที่การงานต่างกัน แต่หนักหนาพอๆ กันค่ะ ทั้ง 2 ท่านที่จะมาพูดคุยกับเราในวันนี้คือ คุณตุ๊ก ยุวดี ต้นสกุลรุ่งเรือง นักเขียนรางวัลชมนาด บุ๊ก ไพร้ซ์ ของเรา และคุณตุ๊ก ดวงตา ตุงคะมณี พิธีกรและนักแสดงที่ทุกคนคงรู้จักกันเป็นอย่างดี เริ่มคำถามที่พี่ตุ๊ก ดวงตา ก่อนเลยนะคะ ไม่ทราบว่าช่วงนี้ทำงานอะไรอยู่บ้างคะ

ดวงตา คุงคะมณี : ช่วงนี้หลักๆ ก็จะมีแต่งานละครทั้งหมดเลยค่ะ ที่ออนแอร์แล้วก็มีเรื่อง มนต์รักข้าวต้มมัด ทางช่อง 3 บ่วงกามเทพ ทางช่อง 5 และที่กำลังถ่ายทำอยู่ก็คือเรื่อง ผยอง ของทางช่อง 3 สัปดาห์หนึ่งๆ ก็จะเทคิวให้การถ่ายละครหมด ช่วงนี้ก็เลยไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย นอกจากว่าวันไหนมีเวลาว่างจริงๆ เราก็จะเอาเวลาตรงนั้นมาดูแลตัวเองบ้าง

ปฎิพร : ถ่ายละครแทบทุกวันแบบนี้ มีวิธีดูแลตัวเองอย่างไรบ้างคะ

ดวงตา : ถ้าพอมีเวลาว่างพี่ก็จะให้เวลากับตัวเองบ้างทั้งทางร่างกายและจิตใจ ด้านร่างกายก็คือ เมื่อไหร่ที่ว่างก็จะไปเล่นโยคะ ให้ร่างกายฟิตแอนด์เฟิร์ม บางที่ก็วิ่งลู่อยู่กับบ้าน ขุดดินปลูกต้นไม้บ้าง อะไรทำนองนี้ คือถ้าบอกว่า ขยับ...เท่ากับออกกำลังกาย เราก็พยายามทำอะไรที่มันต้องขยับเยอะๆ แต่อายุป่านนี้แล้วจะให้มาขยับกล้ามเนื้อมากๆ หรือเล่นกีฬาที่ต้องใช้แรงขา แรงเข่าเยอะ ก็คงไม่ไหว เดี๋ยวกระดูกกระเดี้ยวจะพังไป เรียกว่าออกกำลังกายพอประมาณดีกว่าค่ะ

ส่วนทางด้านจิตใจ ถ้าช่วงไหนพอจะมีเวลาว่างติดกันหลายๆ วันหน่อย ก็จะไปที่ขอนแก่น ไปปฏิบัติธรรม จริงๆ แล้วตัวเองเป็นคนที่มีธรรมะในจิตใจมาตั้งแต่เด็กเลยก็ว่าได้ค่ะ มั่นใจว่าอย่างนั้น เพราะว่าเราจะได้ไปวัดกับพ่อแม่ตั้งแต่เด็กๆ ถึงแม้ว่าเด็กอาจจะมีจุดประสงค์แค่ เข้าไปวิ่งเล่น หรือขอขนมจากพระมากิน แต่อย่างน้อยเสียงสวดมนต์มันก็น่าจะซึมซับอยู่ในจิตใจเราอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่การที่จะซึมซับลึกซึ้งถึงขั้นไปปฏิบัติธรรมนั้น เพิ่งจะเริ่มทำเมื่อ 4 ปีก่อนนี่เอง ส่วนเรื่องทำบุญใส่บาตร ทำทาน ปล่อยนก ปล่อยปลา เราก็ทำเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ในแง่ของการปฏิบัติธรรม เมื่อก่อนเรามีความเข้าใจแค่ว่า คือการไปนุ่งขาวห่มขาว กินข้าว 2 มื้อ เดินจงกลมก้มหน้าไม่พูดจากับใคร หรือนั่งนิ่งๆ เฉยๆ ไม่แยแสต่อสิ่งรอบข้าง แล้วมันจะได้อะไร มันจะสนุกตรงไหน เราก็ไม่เคยคิดว่าทำตรงนั้นแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา จนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ตัวเองต้องพบกับความทุกข์ที่หนักมาก ทุกอย่างมันเข้ามารุมเร้าในชีวิต ที่เคยได้ยินใครๆ พูดว่าให้เอาทุกข์เข้าวัด สงสัยเราต้องลองทำดูบ้างแล้ว ก็เลยไปลองดูว่ามันจะจริงไหม หอบความทุกข์เข้าไปพึ่งพาวัด ออกมาเราจะปลดทุกข์เหล่านั้นได้หรือไม่ นับจากนั้นมา 4 ปีแล้วที่ยังคงปฏิบัติธรรม ทุกวันนี้ไม่อยากสะกดคำว่าทุกข์แล้ว เพราะมีความสุขมากที่ ตอนนี้อายุก็ย่างเข้า 55 ปีแล้ว ถือเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิต นอกจากนี้มันก็มีผลพลอยได้อย่างอื่นอีก เพราะตั้งแต่เราเข้าวัดเข้าวาปฏิบัติธรรม ก็มีแต่คนบอกว่าหน้าตาเราเปลี่ยนไป ดูสดใสอิ่มเอมมากขึ้น แววตาก็เปลี่ยนไป มีเพื่อนที่สนิทกันมากคนหนึ่งเขาบอกว่า เมื่อก่อนนี้แววตาเราเหมือนหมาบ้า เหมือนอยากจะกัดคนอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้แววตาเราดูเป็นคนใจดีมีเมตตามากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งตัวเราก็ไม่เข้าใจหรอกว่าแววตามันเปลี่ยนยังไง แต่ก็มีคนรอบตัวอีกหลายๆ คนพูดทำนองเดียวกันอีกว่า หน้าตาเราดูหน้าคบมากขึ้น เมื่อก่อนนี้คิ้วจะผูกโบอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเรามีความวิตกจริต มีทุกข์ในใจ คนมีทุกข์จะให้มาเดินยิ้มมันก็ทำไม่ได้ พอเราไม่มีทุกข์แล้ว หน้าตาก็เลยผ่องใส อารมณ์ผ่อนคลาย ด้วยความคิดของเราที่เปลี่ยนไป คือคิดบวกมากขึ้น คิ้วเราก็ไม่ขมวด ริมฝีปากก็เผยอมากขึ้น หน้าตาตอนนี้ก็เลยดูเต่งตึงสดใสแบบเป็นธรรมชาติ “ไม่ได้ฉีดโบท็อกซ์มานะคะเนี่ย”

ปฎิพร : อายุ 55 แล้ว แต่ยังดูเหมือน 35 อยู่เลยนะคะ ดูหน้าจะอ่อนลงกว่าวัยเรื่อยๆ เสียด้วย เคยเจอพี่ตุ๊กเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ดูเหมือนจะอาวุโสกว่านี้นะคะ ถ้าใครอยากจะสวยสดใส งามจากภายใน เหมือนคุณตุ๊ก ดวงตา แล้วล่ะก็ อย่าลืมหันไปปฏิบัติธรรมและศึกษาธรรมะกันดูนะคะ เห็นผลจริงๆ ค่ะ สวยอย่างธรรมชาติ ไม่ต้องพึ่งศัลยกรรมเลยใช่ไหมคะ

ดวงตา : เรื่องศัลยกรรมก็เคยทำบ้างค่ะ แต่เมื่อมาศึกษาธรรมะและเริ่มปฏิบัติธรรมแล้ว ก็จะรู้สึกว่า สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง แก่ปูนนี้แล้ว ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ ก็ปล่อยให้เหี่ยว มันย่นไปเถอะ จะไปดึงมันเอาไว้ตลอดเวลาก็คงสู้แรงโน้มถ่วงของโลกไม่ได้ ก็ต้องปล่อยๆ มันไปบ้าง

ปฎิพร : มาทางด้านคุณยุวดีกันบ้างนะคะ หลายคนคงทราบว่าคุณยุวดีเป็นนักเขียน ไม่ทราบว่านอกจากเขียนหนังสือแล้ว ปัจจุบันทำอะไรอยู่บ้างคะ

ยุวดี : ตอนนี้ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเขียนหนังสือเต็มตัว แต่เมื่อก่อนเคยเปิดร้านเบเกอรี่มาประมาณ 20 ปี แล้วก็มีหนังสือที่เขียนออกมาด้วยความระทม คือเรื่อง "ใครๆ ก็อยากเปิดร้านเบเกอรี่" เพื่อเป็นการเล่าเรื่องราวทั้งหมดของคนที่อยากเปิดร้านเบเกอรี่ ถ้าใครสงสัยว่ามันเป็นความระทมได้อย่างไร ก็คงต้องหามาอ่านค่ะ เพราะหลังจากที่เราคิดว่าเราเครียดกับมันมากเกินไป จึงคิดว่าเลิกทำดีกว่า ที่ทำมา 20กว่าปีเลิกไปเลย วันที่จะปิดกิจการ พรรคพวกเพื่อนฝูงก็มาแนะนำว่าให้เอาพวกอุปกรณ์การทำขนมไปขายสิ อย่างน้อยก็ได้เงินกลับมา แต่ดิฉันโทรศัพท์หาพระพะยอม ให้ท่านมารับไปค่ะ ท่านมาเลยรถ 2 คัน แถมได้สูตรขนมไปด้วย บริจาคไปหมดเลย แบบว่าได้ไปแล้วสามารถไปเปิดร้านเบเกอรี่ได้ทันทีเลย แล้วตอนหลัง ท่านก็นำมาทำ “จตุคำ” พอทราบแล้วรู้สึกปลื้มมาก

พอเราจบการทำตรงนี้แล้ว คิ้วเลขแปดของเราก็หายไป เหมือนที่คุณตุ๊ก ดวงตา ว่าไว้ เพราะเมื่อก่อน พอตื่นเช้ามาก็ใจสั่นแล้ว ไม่ใช่เรื่องขายไม่ได้ แต่จะเป็นเรื่องของคนเสียมากกว่า บางทีอยู่ดีๆ ก็มีเด็กในร้านเดินมาบอกว่า “พี่คะหนูจะกลับบ้านแล้ว” เราก็ลมแทบจับ เพราะการทำเบเกอรี่มันทำคนเดียวไม่ได้ แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราเองก็เขียนหนังสือมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว เรารู้สึกว่าเขียนมาแล้วมันก็ขายได้ พอจะอยู่ในอาชีพนี้ได้ ก็เลยคิดว่าเลิกดีกว่า กับงานที่เราทุกข์ เลยหันมาเขียนหนังสือเต็มตัว ก็เขียนมาเป็นเวลา 10 ปีแล้วเหมือนกันค่ะ ทั้งนวนิยาย และบทความตามนิตยสารต่างๆ อย่างหนังสือชุดที่ทำให้เป็นที่รู้จักก็จะมี ใครๆ ก็อยากมีร้านเบเกอรี่, ร้านกาแฟ, ร้านดอกไม้ นวนิยายที่เขียนลงในสกุลไทย ตอนนี้ก็มีเรื่อง “รักหักมุม” ล่าสุดก็คือ ได้รางวัลชมนาด บู๊ค ไพร้ซ์ จากสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น เรื่อง “รอยวสันต์” เป็นเรื่องของคนจีนกวางตุ้ง อยากบอกว่าเป็นเรื่องเดียวในประเทศไทยที่เขียนเรื่องคนจีนกวางตุ้ง เพราะที่อ่านมาส่วนใหญ่จะเป็นของคนจีนแต้จิ๋ว และนี่ก็คืองานที่ทำอยู่ในช่วงนี้ค่ะ

ปฏิพร : เมื่อสักครู่ คุณตุ๊ก ดวงตา เล่าถึงการดูแลสุขภาพและความสวยความงาม แล้วคุณยุวดีล่ะคะมีวิธีการดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง

ยุวดี : เนื่องจากการเป็นนักเขียน ทำให้ต้องนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานมาก นั่งเขียนทั้งวัน แล้วสิ่งหนึ่งที่จะตามมากับการนั่งอยู่กับที่มากๆ คือ “ความอ้วน” มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราเขียนหนังสือเยอะๆ ก็จะจมอยู่กับเครื่องตลอด คล้ายกับเวลาอ่านหนังสือแล้วติดจนวางไม่ลงนั่นแหละค่ะ เขียนหนังสือก็เช่นกัน เมื่อไหร่ที่เราเขียนแล้วไหลลื่นไม่สะดุด เราก็จะอยากเขียนไปเรื่อยๆ ไม่อยากลุกไปไหนเลยเหมือนกัน แม่บ้านก็เอากับข้าวกับปลามาตั้งไว้ให้เรากิน เราก็นั่งกินตรงนั้น เสร็จแล้วก็ทำงานต่อ เกือบ 10 ชม. เขียนอยู่ตลอด จนตัวกลมเลยค่ะ

จนในที่สุด พรรคพวกก็ต้องมาลากไปออกกำลังกายเสียบ้าง ส่วนใหญ่คือไปตีกอล์ฟกัน นับจากนั้นมาเราก็รู้สึกว่า วันๆ หนึ่งมันทำให้เราได้เดินเยอะขึ้นเหมือนกัน อาทิตย์หนึ่งก็จะไปตีสัก 2-3 ครั้ง ได้เจออย่างอื่นบ้างนอกจากคอมพิวเตอร์ ได้เจอสายลมแสงแดด ได้เดินบ้าง แต่มันก็จะมาแย่ตรงสุขภาพผิวอีก ต้องใส่เสื้อ 2 ตัว ครีมกันแดดนี่ต้องโบ๊ะมากๆ จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องตีกอล์ฟอย่างเดียว อาจจะทำกิจกรรมอื่นก็ได้แล้วแต่ความชอบของคน แต่เราจะมีตัวช่วยอีกวิธีหนึ่งซึ่งง่ายมาก ใครๆ ก็สามารถทำได้หมด คือเวลาดูทีวีอย่านั่งดูเฉยๆ เราก็ซอยเท้าอยู่กับที่ กระโดดโลดเต้นมันอยู่หน้าทีวีนี่แหละ

ดวงตา : มีอยู่อย่างหนึ่งที่พระเดชพระคุณ หลวงพ่อจรัญ สอนมาค่ะ เป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือคนแก่ คือการแกว่งมือให้ได้ 200 หน อย่างเราดูทีวีไปก็แกว่งมือไปด้านหลังพร้อมๆ กัน 200 ครั้ง สุขภาพดี โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จะหาย อันดับแรกเลยคือไหล่ไม่ติด ส่วนใหญ่คนแก่ๆ ไหล่จะติด นี่เป็นการออกกำลังกายหัวไหล่ด้วย แล้วเลือดลมจะเดินดี แล้วตามที่หลวงพ่อจรัญบอกคือ โรคภัยไข้เจ็บ ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน หัวใจ คอเรสเตอรอล ทุกคนที่ทำแบบนี้ได้จะดีขึ้น พี่คิดว่าเป็นวิธีออกกำลังกายที่ง่ายมาก ไม่ต้องลงทุนอะไรด้วย แล้วก็อาจจะทำตอนที่ดูทีวีก็ได้ แทนที่จะนั่งดูเฉยๆ

ปฏิพร : แล้วเรื่องของอาหารการกินล่ะคะ ทั้งสองคนมีวิธีดูแลอย่างไร

ยุวดี : พี่เป็นคนที่ชอบกินแป้ง กินขนมปัง แล้วก็พวกก๋วยเตี๋ยวมาก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็คาร์โบไฮเดรตทั้งนั้น ตอนหลังเราก็ต้องมาปรับ ลดพวกคาร์โบไฮเดรตลงบ้าง แต่มันก็ยังชอบกินอยู่นะ หลังๆ ก็พยายามกินให้น้อยลง โชคดีอย่างหนึ่งที่ไม่ชอบกินไข่แดง ไม่กินช็อคโกแลต แล้วก็เกลียดของหวาน เพราะว่าฟันไม่ค่อยดี ยิ่งนานวันเราก็ยิ่งไม่ค่อยอยาก อาจจะเป็นเพราะอายุด้วย แล้วเราก็เป็นคนตื่นเช้ามาก เช้ามาก็ดื่มชาเป็นกาๆ เลย ทั้งชาฝรั่ง ชาจีน ส่วนหนึ่งชาก็จะช่วยขับพวกไขมันออกไปได้ แล้วกลางคืนก่อนนอนเราจะไม่รับอะไรเลย บางคนนี่ก่อนนอนไม่กินนี่จะนอนไม่หลับนะ แต่ว่าเราไม่เป็น ถ้าขืนกินแล้วก็นอนนะคงจะอ้วนมากเลย

ดวงตา : ส่วนพี่ตรงกันข้ามกับคุณยุวดีเลยค่ะ พี่ชอบกินทุกอย่างเลย ชอบกินขนม ช็อกโกแลต ชอบแป้ง ชอบหมดเลย แล้วพี่ก็พยายามไม่บังคับตัวเองมาก เพราะรู้สึกว่า เราทำงานมาก็เหนื่อยแล้ว ทำไมต้องมาจำกัดจำเขี่ย ต้องมาห้ามตัวเอง ห้ามโน่น ห้ามนี่ ตั้งกฎระเบียบให้ตัวเองมากเกินไป สรุปแล้วไอ้ที่เราหาเงินมานี่หามาทำไม ถ้าไม่รู้จักหาความสุขให้ตัวเอง เพราะฉะนั้นสำหรับพี่เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่มาก อยากกินอะไรซื้อกิน กิน กิน แต่เราต้องมีเทคนิคในการกินสมติว่าวันนี้เรากินเยอะ กินขนมหวานเยอะมาก พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้เราก็จะไม่กิน ไม่อย่างนั้นมันจะเหมือนว่าเราต้องอด แล้ววันนึงเราก็จะห้ามไม่ไหว พอถึงวันนั้นระเบิดมาทีก็ห้ามไม่อยู่กู่ไม่กลับเลย เพราะฉะนั้นพี่ก็จะกิน แต่กินแบบมีลิมิตของมัน ถามว่ากินไหม... กินสิคะ ก็หมูติดมันนี่อร่อยกว่าเนื้อหมูอย่างเดียวอยู่แล้ว แต่สมมติเขาวางไว้ให้สัก 10 ไม้ เราก็จะกินแค่ 2 ไม้ ช็อคโกแลตเขาวางไว้ให้ 10 ชิ้น เราก็จะกินแค่ชิ้นเล็กๆ สัก 2 ชิ้นเท่านั้นพอ ก็คือกินหมดทุกอย่างไม่มีเว้น แต่กินแบบพอดี อย่างบางคนเห็นพี่กินข้าวกลางวัน เขาก็จะถามว่าทำไมพี่กินข้าวเยอะจัง นั่นเป็นเพราะเรากินเผื่อมื้อเย็น เพราะมื้อเย็นเราไม่กิน แต่ถ้าอยากจริงๆ ห้ามกิเลสไม่ไหวจริงๆ ก็จะกินอาหารจำพวกผักผลไม้ แต่จะไม่แตะแป้งเลย เพราะแป้งนี่ตัวอันตรายมาก คาร์โบไฮเดรตมันก็จะกลายเป็นทั้งน้ำตาลทั้งไขมัน ฉะนั้นมื้อเย็นเราจะเลี่ยง เพราะว่าถ้ากินเข้าไปแล้วมันก็จะสะสม ยิ่งเราอายุมากการเผาผลาญมันก็สู้เด็กๆ ไม่ได้แล้ว พี่โชคดีที่เป็นคนเลือดกรุ๊ปโอ ก็จะสามารถทานเนื้อแดงได้เยอะ แล้วยิ่งตอนไปปฏิบัติธรรมบางครั้งก็จะทานเจ บางครั้งก็ทานมื้อเดียว คือไม่ว่าเราจะกินอะไรเราก็ต้องมีลิมิต ลิมิตที่ว่าก็คือต้องมีสตินั่นแหละ มันก็เป็นการฝึกปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งเหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นธรรมชาติ สิ่งที่มันอยู่รอบๆ ตัวเราในชีวิตประจำวัน มันเป็นแบบทดสอบให้เราได้หมดเลยในการปฏิบัติธรรม

ปฏิพร : ก็ถือว่าเป็นการนำเอาหลักปฏิบัติธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิต ทั้งเรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องทำนู่นทำนี่ เรียกได้ว่าแทบจะไม่เคยเห็นพี่ตุ๊กอ้วนเลยนะคะ

ดวงตา : พี่เคยอ้วนอยู่พักหนึ่งเหมือนกันคะ เรียกว่าเป็นช่วงวัยหมดประจำเดือน ผิวพรรณมันเหี่ยวมันแห้ง เราเป็นผู้หญิง ออกทีวีมันก็จะดูไม่ดี ก็เลยกังวลว่าจะต้องไปฉีดโบท็อกซ์หรือเปล่า ปรากฏว่าไปหาหมอ หมอบอกว่าฮอร์โมนคุณหมดแล้ว ก็เลยเหี่ยวแบบนี้ แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ เราเองก็ยังไม่อยากแก่ ไม่อยากเหี่ยว ก็ปรึกษาหมอว่าจะทำอย่างไร กินมากไปก็จะอ้วน หมอก็เลยให้ฮอร์โมนมากิน กินฮอร์โมนยังไม่ทันหมดแผงเลย น้ำหนักขึ้นมา 5 กิโล คือน้ำหนักมันขึ้นเร็วมาก นิ้วที่เหี่ยวๆ นี่เป่งขึ้นมาเลย เพื่อนเห็นก็บอกว่า นี่ต้องไปฉีดหน้ามาแน่ ก็เลยบอกหมอว่าไม่ไหวหรอกนะ มันอ้วนล้นจอมาก พี่ก็เลยเลิกกิน แล้วก็มาลดน้ำหนักเอง เลยคิดว่าไปออกกำลังกายเอาเองแล้วกัน มันจะได้ไม่เหี่ยวไม่เฉา แล้วเราก็ปรับๆ ตัวเองมา ก็เลยยอมให้ตัวเองน้ำหนักขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ให้เกินไปกว่านี้ คือจะไม่ยอมให้น้ำหนักมากกว่า50 กิโลกรัม พี่จะชั่งน้ำหนักเช้า-เย็นเลยนะคะ นี่เป็นเทคนิคสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนัก เราจะรู้ว่าวันนี้น้ำหนักเราอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วเราจะกินได้เท่าไหร่

ยุวดี : สำหรับพี่ก็ไม่ได้ควบคุมอะไรถึงขนาดนั้นนะคะ แต่ก็จะดูแลเรื่องกินพอสมควร อะไรที่ไม่อร่อยเราก็จะไม่กิน อะไรที่ไม่ชอบก็จะไม่กิน อย่างบางคนเขาไปกินบุฟเฟ่ ก็จะรู้สึกเสียดายเงินก็กินซะให้คุ้ม แต่เราไม่กินหรอกค่ะ ก็กินเท่านี้แหละไม่คุ้มก็ไม่เป็นไร จริงๆ แล้วเราก็พยายามที่จะกินอาหารพวกน้ำพริกกับผักต้ม แต่อย่างว่ามันก็หลีกเลี่ยงยากเวลาไปไหนมาไหน คนอื่นเขากินอะไรกัน เราจะมาเลือกว่าฉันจะกินอย่างนี้อย่างนั้นมันก็คงไม่ได้ ก็ต้องอาศัยเรื่องการออกกำลังกายด้วย

ปฏิพร : แล้วเรื่องการพักผ่อนล่ะคะ ทั้งสองท่านต้องทำงานหนักขนาดนี้ แบ่งเวลาในการพักผ่อนกันอย่างไร

ยุวดี : การทำงาน เราต้องพยายามจัดการตัวเองอย่าให้มันวุ่นวาย ถึงแม้เราจะทำงานอิสระ ปัญหาสำคัญของนักเขียนคือ คนชอบคิดว่า เธอจะต้องเขียนหนังสือตอนดึกๆ ต้องลุกขึ้นมากุกๆ กักๆตอนกลางคืน ซึ่งมันผิด ถ้าคุณทำงานอิสระ ก็ไม่ได้มีใครมาบังคับคุณ คุณยิ่งจะต้องมีระเบียบวินัยกับตัวเองมากๆ อย่างดิฉันเอง พอตื่นมาก็ทำนู่นทำนี่ 9 โมง ทุกคนก็ไปหมดแล้ว เราก็เริ่มทำงานไป แล้วก็พักเที่ยงสักนิด ออกไปเดิน ไปทำอย่างอื่น

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ