งานเปิดตัวหนังสือ สัญญาณรัก : แปลโดย คุณมณฑานี ตันติสุข

งานเปิดตัวหนังสือ สัญญาณรัก

จำเนียร : สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น และร้านหนังสือ B2S ร่วมกันจัดงานเปิดตัวหนังสือสัญญาณรัก ที่แปลโดย คุณมณฑานี ตันติสุข วันนี้เราจะมาคุยกันว่าหลังจากที่แปลหนังสือเรื่อง เราจะข้ามเวลามาพบกัน ที่เคยเป็นเบสเซลเลอร์ไปแล้ว ตอนนี้มีหนังสือเล่มใหม่ออกมา ซึ่งเราจะมาพูดคุยกันพร้อมกับแขกรับเชิญอีก 2 ท่าน ขอเชิญคุณมณฑานีและผู้ร่วม สนทนาด้วยครับ ก่อนอื่นขอแนะนำผู้ร่วมสนทนาท่านแรก คือ คุณฉันลักษณ์ (เล็ก) รักษาอยู่ เป็นนักเขียนอิสระ เคยเป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์ และเป็นบรรณาธิการนิตยสาร เป็นผู้ประสานงานของเครือข่ายอัญจารีอยู่ช่วงหนึ่ง อีกท่านคือ อ.วีรวัฒน์ กนก นุเคราะห์ จบทางด้านวิทยาศาสตร์ ปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปริญญาโทจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันเป็นอาจารย์อยู่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ตัวอาจารย์เองก็เป็นนักเขียน เขียนทั้งแนววิทยาศาสตร์และแนวรักเพศเดียวกัน จากเรื่อง ซากดอกไม้ สำหรับวันนี้คนที่เป็นนางเอกคือคุณมณฑานี ตันติสุข เป็นนักเขียนนักแปล สำหรับในงานเขียนเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์แฟนตาซีใช้นามปากกาว่า ฉัตรเฉลิม ตันติสุข และเป็นนักแสดงอีกด้วย

หนังสือสัญญาณรัก

 

สำหรับวันนี้เราจะมาคุยเรื่องงานแปล สัญญาณรัก ซึ่งมีคำโปรยเล็กๆ บนปกหนังสือของสัญญาณรัก ว่าสารแห่งความหวังในการมีชีวิตอยู่ แม้ในสภาวะที่เรากำลังเจอเรื่องเลวร้ายที่สุด มันเป็นเครื่องแสดงถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณมนุษย์ ต้องให้คุณโจพูดถึงการเริ่มต้นของหนังสือเล่มนี้ก่อน

มณฑานี : ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณสนพ.ประพันธ์สาส์น เพราะว่าตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี รู้สึกว่าวงการหนังสือเติบโตขึ้น ยอดขายดีขึ้น คนเข้าร้านหนังสือเยอะขึ้น เป็นสิ่งที่เรารอคอยมาเป็นเวลาสิบๆ ปีที่อยากจะเห็นภาพแบบนี้ นั่นเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เราดีใจมาก อันที่สองเป็นสิ่งที่อยากบอกจากใจมากเลย คือหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับเกย์ ความสำคัญอันแรกเลยหนังสือเล่มนี้เกย์เป็นคนเขียน แต่น่าแปลกใจว่าทำไมผู้หญิงคนหนึ่งถึงเป็นแฟนหนังสือที่เกี่ยวกับเกย์ เพราะว่าประเด็นไม่ได้อยู่ที่เรื่องเกย์อย่างเดียว อันนั้นเป็นประเด็นหลักคือเกย์เป็นคนเขียน แต่สิ่งที่เกย์คนนี้คือโจเอล เจอคือช่วงเวลที่ไม่มีใครในโลกนี้อยากเจอ มันคือ Imagine เป็นจินตนาการของตัวเองนะว่า ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าเราต้องไปเจอเรื่องที่มันเลวร้ายขนาดนี้ คือความตาย ไม่จำเป็นที่จะ ต้องเป็นเชื้อ HIV คือโจเอลเขาเป็น HIV เป็นโรคเอดส์ ช่วงที่เรากำลังซื้อหนังสือเล่มนี้ UBC ฉายหนังเรื่องหนึ่ง เป็นหนังปี 1993 เป็นหนังมินิซีรี่ย์ที่ได้รับรางวัลจากทั่วทุกองค์การ เป็นเรื่องจริงเกี่ยวกับการค้นพบโรคเอดส์ตั้งแต่แรก ใช้เวลาหลายปีมากกว่าที่จะทำหนังที่เกิดการรับรู้ว่าเอดส์มีอยู่ในโลก เพราะช่วงแรกที่เขาค้นพบ โรคเอดส์ รัฐบาลเรแกนไม่รับรองไม่สนใจ เพราะเป็นโรคของเกย์ เกย์ไม่สามารถเป็นคนที่ลงคะแนนเสียง คือเขาไม่คิดจะเอาคะแนนเสียงของเกย์ มันมีฐานอยู่แค่ซานฟรานซิสโก แต่ปัจจุบันนี้โรคเอดส์เป็นโรคที่รักษาหายได้ เป็นโรคที่ทุกคนตระหนักแล้วว่าเป็นโรคระบาดที่เลวร้าย เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ยุคใหม่ แต่ไม่มีใครโทษใครแล้วว่าเป็นโรคที่สำส่อนทางเพศ จะไม่มีใครตำหนิใครแล้วว่าเป็นโรคของเกย์ หรือคนที่เป็นแล้วตายแน่นอนสังคมจึงรังเกียจ ประเด็นสำคัญเลย ทำไมก่อนหน้านั้นไม่มีใครสนใจ มีแต่หมอที่ห่วงใยในชีวิตของคนไข้

แต่ขณะเดียวกันก็เป็นศึกสงครามที่ใหญ่มากของหมอและนักวิทยาศาสตร์ที่หวังธุรกิจ หวังชื่อจากการที่ได้ชื่อว่าตัวเองเป็นคนค้นพบไวรัสเอดส์ การต่อสู้บนชั้นศาลว่าใครจะได้เครดิตมา ทำให้การหาตัวยารักษาช้าไปถึง 3-4 ปี ที่เล่าก็เพราะว่า นี่คือโศกนาฏกรรมจริงที่เกิดขึ้นกับมนุษย์จริงๆ ปี 1981 ค้นพบว่าคนอเมริกันติดโรค 160 คน เวลา 1 ปีผ่านไปตายไป 88 คน ปัจจุบันนี้คนติดเชื้อ HIV กี่คน ปัจจุบันคนตายเฉพาะอเมริกา สี่หมื่นสองแสนกว่าคน ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา แล้วคนติดเชื้อ HIV ปัจจุบันมีเพียง 42 ล้านคน เท่ากับเป็นประชากรอีกประเทศหนึ่ง และถ้าบอกว่าโรค HIV เป็นโรคที่ตายแน่นอนหมายความว่า 42 ล้านคนนี่กากบาทไว้เลยว่าต้องตายซึ่งก็ต้องตายหมด แต่จุดใหญ่ของหนังสือเล่มนี้คือตัวรอธสไชล์ดเขาสู้ด้วยความหวังแค่ 1 % ที่เหลืออยู่ การสู้ของเขาเทียบกับเพื่อนเขาในเรื่องที่ชื่อมาร์ก ไซม่อน เขามีกำลังใจที่ดีมาก เป็นการสู้แบบไม่ยอมรับความจริงว่าเราต้องตาย ในขณะที่ตัวเขาเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก และเป็นมะเร็งที่ผิวหนังหมดแล้ว อยู่โรงพยาบาลและบอกว่าฉันไม่ตายหรอก ฉันไม่ตาย แต่โจเอลสู้ไม่เหมือนเพื่อนคนนี้ โจเอลคิดถึงเรื่องความรัก ใช้ความรักกับความเมตตากรุณาที่มีอยู่ในตัวเอง ล้างสิ่งที่เป็นด้านลบที่บอกกับตัวเองเราเราหมดคุณค่า เราต้องตายแล้ว ออกให้หมด แล้วเอาด้านบวกที่ดีเป็นความหวังบอกกับตัวเองว่าเรามีความหวังในการมีชีวิตอยู่ แต่โจเอลขอบคุณคนคนหนึ่งที่ทำให้เขาได้คุณค่าในชีวิต ได้สิ่งที่เป็นของขวัญอันมหัศจรรย์นี้ คือเพื่อนที่ตายไปแล้วและกลายมาเป็นวิญญาณที่พิทักษ์เขา เพื่อนคนนี้เป็นเอดส์เหมือนกันแต่เป็นเอดส์ในระยะสั้นกว่าเพื่อนเยอะ คือกว่าจะตายก็อีกหลายปี แต่เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนแอ เขาเป็นคนที่มีความรักมากจนมันทำลายตัวเอง เขาอ่อนแอเขาก็เลยฆ่าตัวตาย พอตายแล้วเขากลับมาเป็นคนส่งสารบอกโจเอลว่าการฆ่าตัวตายอย่างเขาอย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ชีวิตมันมีค่า ชีวิตมันต้องอยู่ต่อไป เพราะโจเอลก็เคยฆ่าตัวตาย คือคิดว่าเราไม่มีความหวังในการมีชีวิตอยู่ ตายๆ ไปเถอะ ขนาดเรายังไม่ได้เป็นเอดส์ ถ้าเราเป็นมะเร็งในระยะสุดท้าย ถ้าเราต้องเป็นเอดส์อย่างนี้ล่ะ เหมือนอย่างกับเพื่อนที่ชื่ออัลเบิร์ต อัลเบิร์ตมีความรักเพื่อนเคยทำสัญญากับเพื่อนว่าจะกลับมาและจะมาบอกว่าวิญญาณมีจริง เขากลายมาเป็นคนที่ดูแลโจเอล คอยให้กำลังใจให้ความหวัง และให้พรสวรรค์พิเศษกับโจเอลในการติดต่อกับวิญญาณได้ เพราะฉะนั้นมันคือเรื่องปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นจริง

จำเนียร : เริ่มต้นฟังคุณโจเล่าว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร จุดที่น่าสนใจคือเกย์เป็นคนเขียน เป็นคนที่รักเพศเดียวกันเขียน จริงๆ แล้วในเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ของคนที่สูญเสีย ปัจจุบันคุณโจเอลยังมีชีวิตอยู่ ทั้งๆ ที่หมอเคยบอกว่าจะอยู่ได้เพียง 2 ปี หลังจากที่คุณโจเกริ่นเกี่ยวกับเรื่องคนที่เขียนซึ่งเป็นคนที่อยู่ในเพศเดียวกัน ลองมาฟังทัศนะของคนที่ทำงานเกี่ยวกับคนที่รักเพศเดียวกันดูบ้างว่ามีความเห็นอย่างไร

ฉันทลักษณ์ : ในประเด็นคนรักเพศเดียวกันคือ สถานการณ์โรคเอดส์ตอนนี้ ข้อมูลตัวเลขก็คือว่า ผู้หญิงจะติดเชื้อเอดส์มากกว่าผู้ชาย ถ้าคนรักต่างเพศติดเชื้อจะได้รับความสงสารจากสังคมค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าเกย์ติดเชื้อจะถูกมองว่าสำส่อน ซึ่งในสังคมไทยก็ยังเป็นอย่างนี้กันอยู่ คนที่ทำงานเรื่องเอดส์ถ้าเขาไม่ใช่คนรักเพศเดียวกัน เขาก็จะไม่มาทำประเด็นเรื่องคนรักเพศเดียวกัน ก็จะมีกลุ่มเกย์อย่างกลุ่มฟ้าสีรุ้ง ที่ทำงานเรื่องเอดส์ ก็จะเป็นกลุ่มเกย์ที่มาทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ ไม่มีกลุ่มทั่วๆ ไปที่มาทำเรื่องเกย์ เรื่องเอดส์ เรื่องเลสเบี้ยน มันสามารถบอกอะไรได้เหมือนกันว่า คนเป็นเกย์และติดเชื้อเอดส์ในเมืองไทยคงต้องดูแลกันต่อไปมากกว่าที่จะให้คนรักต่างเพศมาดูแล

จำเนียร : ส่วนใหญ่คงมีลักษณะอย่างนั้น เพราะกลายเป็นว่า คงไม่มีใครมาดูแลและปกป้องเราเอง ทุกคนต้องจับมือกัน ผมว่าคล้ายๆ กับเรื่องนี้ คือตัวของรอธสไชล์ด จริงๆ แล้วคงมีเรื่องสนุกสนาน เพราะเขาเปิดสปา และสปาเขาก็คงรุ่งเรือง เพราะขนาดอาร์โนว์ยังมาใช้บริการ แล้วจู่ๆ มารู้ว่าเป็นเอดส์

มณฑานี : ซึ่งมันเหมือนฟ้าผ่า วันนี้เพื่อนโจจะมากันมากเลย หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับความเป็นเพื่อน เวลาที่เราเจอปัญหาที่ไม่สามารถไปพึ่งใคร โจเข้าใจ เพราะเมื่อก่อนที่โจฆ่าตัวตาย เพราะโจโดดเดี่ยว ไม่มีใครที่จะเข้าใจเพราะเราโตมากับความรับผิดชอบ แต่ปัจจุบันนี้โจเปลี่ยนตัวเอง โจรู้แล้วว่าความเป็นเพื่อน มิตรภาพ ความเป็นกัลยาณมิตร ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันทั้งยามทุกข์และยามสุข มันทำให้เราเอาชนะทุกอย่าง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเอาชนะแยกเขาแยกเรา การแยกว่าเกย์กับคนที่รักต่างเพศกับรักเพศเดียวกันจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ การที่ตัดสินว่าเป็นเกย์สำส่อน การที่ตัดสินว่าคนที่เป็นเกย์ไม่มีคุณค่ากับการมีชีวิตอยู่ ตราบใดก็ตามที่เกย์ไม่ซ้ำเติมตัวเอง ตระหนักในคุณค่าของตัวเองและรู้ว่าเรามีความรักที่ดีได้ เราใช้ชีวิตที่มีคุณค่าได้ เมื่อนั้นโลกจะเริ่มคลายการแบ่งแยกเขากับเรา โลกที่เต็มไปด้วยการแบ่งแยก ไม่จำเป็นต้องเป็นเกย์ รักต่างเพศหรือรักเพศเดียวกัน คนขาวคนดำ คนป่วยกับคนสบายดี คนรวยกับคนจน เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีกำแพง เราไม่มีวันที่จะก้าวไปและเข้าใจคนที่ไม่เหมือนเรา หนังสือเล่มนี้กำลังทลายกำแพงความไม่เข้าใจ

จำเนียร : จุดสำคัญของหนังสือเล่มนี้ เมื่อสักครู่คุณโจยังเล่าไม่จบ โจเอลกับอัลเบิร์ตตอนแรกที่เจอกันก็คิดว่าจะเป็นคู่รัก ในขณะที่อัลเบิร์ตบอกว่าถ้าเป็นเพื่อนกันจะมีความสัมพันธ์ที่ยืนยาวมากกว่า หนังสือเล่มนี้ผู้ที่เสียชีวิต ที่ฆ่าตัวตายไป เขาไม่ใช่แฟนกันแต่เป็นเพื่อนกัน

มณฑานี : ตอนเราแปลไปตอนต้น เราไม่แน่ใจว่าเขาเป็นเพื่อนกันจริงๆ หรือ เราจับคือหนังสือทุกเล่มจะมีพลัง ความสัมพันธ์อันนี้ที่มันอยู่ได้แม้กระทั่งเพื่อนตายไปแล้วเพราะมันไม่มีความเสน่หา

จำเนียร : เรื่องนี้ฟังดูมันเหมือนมีลักษณะเป็นความเชื่อความศรัทธาของแต่ละบุคคลมากกว่า ขอมาพูดคุยกับอาจารย์วีรวัฒน์ อาจารย์เองก็สอนทั้งแนววิทยาศาสตร์ และเขียนหนังสือในแนวของคนรักเพศเดียวกัน ลองมองในแง่ความศรัทธาที่เขาเชื่อและเขาเห็นในทัศนะของอาจารย์

 

Writer

Sirirat Soonsakul

นักอยากเขียน ผู้รักการสะสมท้องฟ้าสีวนิลลา และใช้หมูกระทะเยียวยาจิตใจ